Bitcoin Cash เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากการทำ Hard fork* ของ Bitcoin ซึ่งทำให้เกิดบล็อกเชนและสกุลเงินคริปโตตัวใหม่ขึ้นมา
แล้วทำไมถึงต้องมีการทำ Hard fork และอะไรที่เป็นจุดด้อยของ Bitcoin?
ในช่วงแรกๆ การทำงานของ Bitcoin นั้นค่อนข้างที่จะเร็วเพราะยังไม่มีการทำธุรกรรมที่มากนัก แต่เมื่อมันได้รับความนิยมมากขึ้นการทำงานก็ช้าลง เนื่องจากขนาดของบล็อกที่จำกัดไว้ที่ 1MB ในปี 2560 เกิดเหตุการณ์ที่คนใช้งานต้องรอนานถึง 3 วันในการตรวจสอบการโอนถ่าย Bitcoin วิธีหนึ่งที่จะทำให้การโอนเร็วขึ้นคือการจ่ายค่าธรรมเนียมการโอนมากขึ้น แต่นั้นก็เป็นการขัดต่อจุดประสงค์ที่ทำให้มีเหรียญนี้ตั้งแต่แรก ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการซื้อกาแฟในราคา 4 ดอลลาร์ แต่เรากลับต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับบริการถึง 16 ดอลลาร์ ซึ่งผู้ใช้ยอมรับไม่ได้แน่นอน จึงนำมาสู่ทางออก 2 ข้อ ได้แก่ Bitcoin Unlimited และ Segregated Witness (SegWit)
เจ้าของแนวคิด Bitcoin Unlimited เสนอว่าให้ยกเลิกการจำกัดขนาดของบล็อกโดยมีนักขุดเป็นผู้สนับสนุนหลักเนื่องจากเงินโดยรวมที่นักขุดได้จะเพิ่มขึ้นในทุกๆ บล็อก แต่ปัญหาหนึ่งของข้อเสนอนี้คือ นักขุดรายใหญ่จะสามารถรวมพลังการขุดกันซึ่งอาจทำให้เครือข่ายนี้ตกเป็นของบริษัทขุดยักษ์ใหญ่ได้
วิธี SegWit มีแนวคิดหลักที่ว่า ข้อมูลทุกอย่างไม่จำเป็นต้องถูกเก็บในบล็อกเชน โดยบางอย่างสามารถเก็บไว้ในไฟล์แยกได้ ซึ่ง Bitcoin Cash ได้นำ 2 แนวคิดนี้มาผสมรวมกัน โดยเพิ่มขนาดบล็อกเป็น 8MB และเก็บข้อมูลบางส่วนไว้นอกบล็อกเชน ซึ่งภายหลังการแยกตัวนี้ทำให้ทุกคนที่ถือ Bitcoin ณ ตอนนั้นได้รับเหรียญ Bitcoin Cash เท่ากับจำนวนของ Bitcoin ที่ถืออยู่ด้วย และข้อมูลก็ถูกบันทึกลงในบล็อกเชนของ Bitcoin Cash เหตุผลที่เป็นแบบนี้ก็เพื่อที่จะรักษามูลค่าของ Bitcoin Cash ในช่วงการเปลี่ยนแปลงขณะที่เปิดตัว Bitcoin Cash เป็นคริปโทเคอเรนซีสกุลใหม่ในเวลานั้น
ท่านสนใจซื้อ Bitcoin Cash(BCH) รึเปล่า ? ดูตลาดของเราได้ที่นี่ : https://www.bitkub.com/market/BCH
* ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hard fork ได้ ที่นี่
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
เยี่ยมเลย!
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ
ขออภัยที่เราช่วยเหลือไม่ได้!
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ
ส่งข้อเสนอแนะแล้ว
เราขอขอบคุณในความพยายามของคุณ และจะพยายามแก้ไขบทความดังกล่าว