ระบบ Worldcoin แนวคิดสุดล้ำจากผู้ก่อตั้ง OpenAI

แก้ไขเมื่อ วันพุธ, 6 ธันวาคม, 2023 เมื่อ 2:07 PM


ปัจจุบัน ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่การมาของเทคโนโลยี AI ที่มาพร้อมกับประโยชน์อันมากมาย แต่ก็มาพร้อมกับความกังวลที่นับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน หนึ่งในปัญหานั้นคือการปลอมแปลงตัวตนหรือคนถูกสวมรอยโดย AI และโปรเจกต์ Worldcoin ก็พยายามเข้ามาแก้ปัญหานี้ด้วยแนวคิด Proof-of-Personhood


Worldcoin คืออะไร?


Worldcoin เป็นระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะมอบการเข้าถึงระบบเศรษฐกิจโลกให้กับมนุษย์ทุกคน โดยถูกออกแบบมาให้มีความกระจายอำนาจ (Decentralized) นั่นหมายความว่าผู้ใช้ทุกคนที่อยู่ในระบบสามารถออกเสียงกำหนดทิศทางการทำงานของระบบได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวกลางเพียงคนใดคนหนึ่ง


ระบบของ Worldcoin เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องมือทั้ง 3 อย่างดังต่อไปนี้


  1. World ID — ระบบเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดิจิทัลที่สามารถเก็บรักษาข้อมูลของแต่ละบุคคลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันได้
  2. Worldcoin Token — หรือตัวย่อ WLD เป็นโทเคนดิจิทัลที่ใช้ภายในระบบของ Worldcoin โดยเป็นโทเคนที่จะถูกแจกจ่ายให้ฟรีสำหรับคนที่ลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านระบบ World ID
  3. World App — แอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิทัลแบบ Self custodial (ผู้ใช้ดูแล Private key ด้วยตัวเอง) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถชำระเงิน ซื้อสินค้า และโอนเงินได้ทั่วโลกด้วย Worldcoin Token รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล Stablecoin และสกุลเงินแบบดั้งเดิม


ระบบ Worldcoin จะทำงานอยู่บนบล็อกเชน Layer-2 ที่ทำงานอยู่บนเครือข่าย Ethereum อีกที โดยใช้ระบบ Optimistic Rollups เพื่อให้สามารถรองรับข้อมูลจำนวนมากได้ ขณะที่ตัวโทเคนจะใช้มาตรฐาน ERC-20 เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับบริการอื่น ๆ บน Ethereum ได้


Worldcoin ทำงานอย่างไร?


Worldcoin แตกต่างกับโทเคนดิจิทัลสกุลอื่นตรงที่ Worldcoin จะถูกแจกให้ฟรีกับคนที่ลงทะเบียนและยืนยันตัวตนกับระบบ Worldcoin ซึ่งสามารถทำได้โดยดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Worldcoin กรอกข้อมูล จากนั้นผู้ใช้จะต้องไปยืนยันตัวตนด้วยการสแกนม่านตาผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า The Orb ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์ทรงกลมที่ทีมงาน Worldcoin จะนำไปตั้งตามเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก (ตรวจสอบตำแหน่ง The Orb ได้ที่นี่


สาเหตุที่ Worldcoin เลือกใช้การสแกนม่านตาเพื่อยืนยันตัวตนนั้นก็เพราะม่านตาของคนเราก็เหมือนกับลายนิ้วมือที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน และยังถูกปลอมแปลงได้ยากกว่าลายนิ้วมือ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่าคนที่ลงทะเบียนเข้ามาในระบบเป็นมนุษย์จริง ๆ ไม่ใช่ Bot หรือ AI


เมื่อผู้ใช้สแกนม่านตากับ The Orb สำเร็จ ตัวอุปกรณ์จะไม่ได้เก็บข้อมูลไบโอเมตริกของผู้ใช้ไว้ แต่จะสร้างออกมาเป็น IrisHash หรือชุดรหัสที่สร้างขึ้นมาจากการสแกนและสามารถระบุตัวตนของผู้ใช้ได้ เมื่อผู้ใช้ได้ IrisHash และกระเป๋าดิจิทัลไปแล้ว พวกเขาก็จะได้รับ World ID และพาสปอร์ตดิจิทัลด้วย


อ้างอิง

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?

เยี่ยมเลย!

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ

ขออภัยที่เราช่วยเหลือไม่ได้!

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ

บอกให้เราทราบว่าเราจะปรับปรุงบทความนี้ได้อย่างไร!

เลือกเหตุผลอย่างน้อยหนึ่งข้อ
ต้องมีการตรวจสอบ CAPTCHA

ส่งข้อเสนอแนะแล้ว

เราขอขอบคุณในความพยายามของคุณ และจะพยายามแก้ไขบทความดังกล่าว