LayerZero คืออะไร?
LayerZero เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้แอปพลิเคชันสามารถย้ายข้อมูลข้ามบล็อกเชนได้ รองรับข้อความที่ทนต่อการเซนเซอร์ พัฒนาด้วยกลไกที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการใช้งานบนบล็อกเชนได้ (Permissionless) มีความสามารถในการทำงานร่วมกันได้แบบข้ามเครือช่าย (Cross-Chain) ซึ่งโปรโตคอลนี้เป็นทางเลือกที่มีสิทธิภาพและเน้นการทำงานสำหรับการทำ Bridge ระหว่างบล็อกเชน โดยใช้มาตรฐานที่กันอย่างแพร่หลายสำหรับกิจกรรมแบบข้ามเครือข่าย
LayerZero Labs ได้รับการพัฒนาโดย LayerZero Labs จากเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา โดยเปิดตัวโปรเจกต์เมื่อเดือนกันยายน 2564 ซึ่งตัว LayerZero Labs ได้ก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นปีเดียวกัน โดยศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัย New Hampshire ประกอบด้วย Bryan Pellegrino, Caleb Banister และ Ryan Zarick โดย Pellegrino เป็น CEO ของบริษัท มี Banister เป็นวิศวกรหลัก และ Zarick เป็น CTO
ซ้าย Caleb Banister, กลาง Ryan Zarick, ขวา Bryan Pellegrino – ที่มาของภาพ Sequoia
กล่าวกันว่าโปรเจกต์ LayerZero เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียงที่สุดในอุตสาหกรรมบล็อกเชน ที่สามารถระดมทุนได้กว่า 260 ล้านดอลลาร์ มีบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมลงทุน เช่น Sequoia Capital, OpenSea, Uniswap (UNI) และ PayPal รวมถึงนักลงทุนสถาบันอื่น ๆ อีกกว่า 40 ราย ปัจจุบัน LayerZero มีมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมูลค่าการประเมินมูลค่าสูงสุดในบรรดาโปรโตคอลบล็อกเชนและ DApps
ในเดือนธันวาคม 2566 LayerZero ประกาศเปิดตัว LayerZero V2 ที่เปิดให้อัปเกรดในเดือนธันวาคม 2567 เป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่จะปรับปรุงความปลอดภัย เป็นการสร้างเครือข่ายบล็อกเชน Omnichain ให้มีความสามารถในการเขียนโปรแกรม และขั้นตอนการตรวจสอบข้อความแบบบล็อกเชน โดยปัจจุบัน (8 ตุลาคม 2567) LayerZero รองรับการทำงานบนบล็อกเขนมากกว่า 70 เครือข่าย และมีแอปพลิเคชันบน LayerZero มากกว่า 200 แอปพลิเคชัน
จำนวนข้อความทั้งหมดที่มีการส่งข้อความบน LayerZero Scan — ที่มาของภาพ LayerZero
จุดเด่นของของ LayerZero
ความสามารถในการทำงานร่วมกัน (Interoperability)
วัตถุประสงค์หลักของ LayerZero คือการเปิดใช้งานการสื่อสารข้ามเครือข่าย คือ ผู้ใช้งานสามารถโอนทรัพย์สินและข้อมูลข้ามบล็อกเชนต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น ผู้ใช้งานสามารถย้ายโทเคนจาก Ethereum ไป Solana โดยไม่ต้องใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนแบบ Decentralized หรือการ Swap ที่ซับซ้อน
Ultra Light Node (ULN)
คุณสมบัติที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของ LayerZero คือการใช้ Ultra Light Nodes (ULN) เป็นการทำงาน ที่แตกต่างจากการทำ Bridge ของบล็อกเชนแบบดั้งเดิมที่มักอาศัยโหนด หรือ light clients ซึ่งอาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ในทางกลับกันการทำงานแบบ ULN ที่มอบความปลอดภัยโดยไม่ต้องมีการคำนวณด้วยพลังคอมพิวเตอร์อย่างมหาศาล หรือต้องการแบนด์วิดท์ขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ LayerZero มีประสิทธิภาพและปรับขนาดได้มากขึ้น
Relayers and oracles
LayerZero ใช้การผสมผสานที่ไม่เหมือนใคร โดยการใช้ Relayers และ Oracles เพื่อตรวจสอบข้อความข้ามเครือข่าย ตัว Relayers ทำหน้าที่ส่งหลักฐานการทำธุรกรรม ในขณะที่ Oracles ทำหน้าที่จัดเตรียมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบ กลไกคู่ขนาดเช่นนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีหน่วยใดที่สามารถควบคุมกระบวนการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
ความปลอดภัย
สถาปัตยกรรมของ LayerZero ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อย่างมากด้วยการกระจายความไว้วางใจระหว่างหน่วยย่อยต่าง ๆ ทั้งผู้ถ่ายทอดข้อมูลและ Oracles ต้องตกลงกันเพื่อให้ธุรกรรมได้รับการตรวจสอบ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงหรือการโจมตี
ความสามารถในการปรับขนาด (Scalability)
ตัวโปรโตคอลได้รับการออกแบบมาให้มีความสามารถในการจัดการธุรกรรมแบบข้ามเครือข่ายได้จำนวนมากโดยไม่ให้เกิดปัญหาคอขวด ความสามารถในการปรับขนาดนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการรองรับความต้องการจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะกับการนำไปใช้บน DeFi และ NFT
เป็นมิตรกับนักพัฒนา
LayerZero นำการพัฒนา ชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDK) และ Application Programming Interfaces (APIs) เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถผสานรวมความสามารถแบบข้ามเครือข่ายเข้ากับ DApps ได้อย่างง่ายดาย วิธีนี้ช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการพัฒนาและส่งเสริมการนำโปรโตคอลไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น
ZRO ใช้งานสำหรับอะไร?
โทเคน ZRO (LayerZero) เป็น Native Token ของ LayerZero มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ LayerZero ที่เป็นทั้ง Utilities Token และให้ผลประโยชน์ต่าง ๆ กับผู้ถือโทเคน โดยมีรายละเอียดดังนี้
ค่าธรรมเนียมธุรกรรม : โทเคน ZRO ช่วยอำนวยความสะดวกในการชำระค่าธรรมเนียมธุรกรรมข้ามเครือข่ายและบริการอื่น ๆ ภายในระบบนิเวศ LayerZero นอกจากนี้ยังมีกลไกการให้รางวัลแก่ผู้ตรวจสอบและผู้เข้าร่วมเครือข่ายอื่น ๆ เพื่อรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของโปรโตคอล
การมีส่วนร่วมในด้านการกำกับดูแล : ZRO อนุญาตให้ผู้ถือโทเคนเข้าร่วมเสนอการกำกับดูแล รวมถึงตัดสินใจเกี่ยวกับการอัปเกรด การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาและนโยบายในอนาคตของโปรโตคอล
รางวัลตอบแทนการทำ Staking : ผู้ใช้สามารถ Staking โทเคน ZRO เพื่อรับรางวัล ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการถือครองในระยะยาวและการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในระบบนิเวศ
การเข้าร่วม Airdrop : สำหรับคนที่มีส่วนร่วมในโครงการ LayerZero และการถือโทเคน อาจจะช่วยเพิ่มคุณสมบัติสำหรับการเข้าร่วมรับ Airdrop (Airdrop ครั้งล่าสุดดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2567)
การกระจายเหรียญของ ZRO
ZRO มี อุปทานสูงสุดจำกัด (Max supply) ทั้งหมด 1 พันล้าน ZRO โดยเริ่มจัดสรรออกเป็น
25.00% สำหรับ Ecosystem Fund
19.00% สำหรับการทำ Airdrop โดยแบ่งออกเป็น 5% จะถูกจัดสรรให้กับ Initial DEX Offering (IDO)
19.00% จัดสรรให้กับบุคคลที่มีส่วนสนับสนุนในการพัฒนา
17.00% จัดสรรให้กับ Investors
20.00% สำหรับ Retroactive Public Goods Funding (RPGF) เป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการทำโครงการ LayerZero สำเร็จและส่งผลดีต่อแพลตฟอร์ม
ข้อมูลน่าสนใจด้านราคาของ ZRO
ข้อมูลจากเว็บไซต์ Coinmarketcap เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เหรียญ ZRO มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market cap) ที่ 683,798,215 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 23,577,847,086 บาท
ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ เหรียญ ZRO ซื้อขายกันอยู่ที่ราคาประมาณ 6.22 ดอลลาร์ 213 บาทต่อ 1 ZRO โดย ZRO เคยทำราคาสูงสุด (All-time high) ที่ 6.82 ดอลลาร์ หรือ 234.98 บาท ต่อ 1 ZRO เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567
แหล่งอ้างอิง
คำเตือน:
- คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
เยี่ยมเลย!
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ
ขออภัยที่เราช่วยเหลือไม่ได้!
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ
ส่งข้อเสนอแนะแล้ว
เราขอขอบคุณในความพยายามของคุณ และจะพยายามแก้ไขบทความดังกล่าว